สิวคืออะไร?

จะสวยทั้งทีต้องไปให้สุด

สิว เกิดการอุดตันของรูขุมขน กลายเป็น สิวอุดตัน ชนิดหัวเปิดและชนิดหัวปิด  (สิวหัวดำและสิวหัวขาว) มักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้าและลำคอ, ไหล่, หน้าอกและบริเวนแผ่นหลัง   สำหรับสิวที่รุนแรงปานกลางและรุนแรงมากนั้น สิวจะเริ่มมีอาการบวมแดง อักเสบและพัฒนาเป็นหัวหนองต่อไป   และยังนำไปสู่การเกิด รอยดำ รอยแดงสิว หลังการอักเสบ (post-inflammatory hyperpigmentation : PIH) และ / หรือ รอยแผลเป็นในระยะยาวได้อีกด้วย

การเกิดรอยดำ รอยแดงสิวหลังการอักเสบ (post-inflammatory hyperpigmentation : PIH) เป็นการที่ผิวหนังเปลี่ยนสีไป เพราะเป็นผลจากการเกิดการอักเสบของผิวหนัง เช่น การเกิดสิว , โรคผิวหนังอักเสบ เป็นต้น โดยเฉพาะคนที่มี สีผิวคล้ำจะมีโอกาสเกิดสูง. รอยดำ รอยแดงสิวหลังการอักเสบนี้ จะค่อยๆจางลงได้เมื่อเวลาผ่านไป แต่การรักษาทางการแพทย์ในปัจจุบันก็สามารถช่วยให้หายเร็วขึ้นได้ 

สิวแบ่งตามระดับความรุนแรงได้เป็น 3 ประเภท

1.Mild Acne  ส่วนใหญ่จะเป็นสิวอุดตัน 

สิวอุตตัน
สิวอุตตัน

2.Moderate Acne

สิวจะเริ่มมีอาการบวมแดง และเป็นหัวหนอง
สิวจะเริ่มมีอาการบวมแดง และเป็นหัวหนอง

3.Severe Acne

สิวจะเป็นลักษณะอักเสบบวมแดงขนาดใหญ่

สาเหตุสำคัญ 4 ประการที่นำไปสู่การก่อตัวของ สิว

1.ต่อมไขมันผลิต Sebum มากเกินไป

Sebum คือต่อมที่ทำหน้าที่ผลิตไขมัน สามารถถูกกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้นด้วยฮอร์โมน Androgen ซึ่งเมื่อความมันที่ถูกผลิตออกมาไปรวมกับเซลล์ผิวชั้นนอกที่ตายแล้วจึงอุดตันรูขุมขนจนกลายเป็นสิวอุดตันนั้นเอง จากนั้นแบคทีเรีย P.Acne จะปล่อยของเสียระคายเคืองออกมาเป็นจำนวนมากจนกลายเป็นสิวอักเสบในที่สุด

2.การอุดตันของรูขุมขน 

รูขุมขนอุดตัน เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เซลล์ผิวที่ตายแล้ว สิ่งสกปรก ไปอุดตันบริเวณรูขุมขน ซึ่งทำหน้าที่ในการผลิตน้ำมันเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว จนทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนัง ส่งผลทำให้เกิดสิว ซึ่งสิวที่เกิดขึ้นอาจทำให้เสียความมั่นใจ และหากไม่ได้รับวิธีรักษาถูกต้อง อาจเกิดการอักเสบเรื้อรัง และเป็นแผลเป็นได้

อุดตันของรูขุมขน 
อุดตันของรูขุมขน 

3.การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย

การสะสมของไขมันที่หลั่งออกมาจากต่อมไขมัน กลายเป็นแหล่งอาหารชั้นดีสำหรับแบคทีเรีย โดยเฉพาะแบคทีเรีย P.acnes แบคทีเรียชนิดนี้จะเข้ามาอาศัยอยู่ในต่อมไขมันที่มีการอุดตัน เพื่อย่อยสลายไขมันไปเป็นอาหาร กระบวนการนี้ก่อให้เกิดสารที่ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้นและทำให้เกิดสิวชนิดตุ่มนูนแดงและสิวหัวหนองขึ้นได้

สิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวเสี้ยน

หลายๆคน สงสัยว่า ล้างหน้าสะอาดแล้ว ทำไมยังเป็น สิว อยู่ , ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว ทำไมยังเป็น สิว อีก และ อีกหลากหลายคำถามเกี่ยวกับ สิว

สิว ไม่ได้เป็นเฉพาะในวัยรุ่นเท่านั้น แต่เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุค่ะ แม้ในทารกแรกเกิด หรือ เมื่อล่วงเข้าสู่วัยชรา ก็ยังเป็น สิว ได้เลยค่ะ

สิว มักเกิดขึ้นได้บ่อยใน ผู้ที่มีผิวมัน ซึ่งความมันบนใบหน้าก็สัมพันธ์กับความรุนแรงของ สิว แต่ไม่แน่นอนเสมอไป สิว สามารถเกิดขึ้นได้กับ ผิวทุกประเภท สิวบนใบหน้ามีหลายรูปแบบ ทั้ง สิวอักเสบ สิวไม่อักเสบ หรือ สิวอุดตัน และ สิวเสี้ยน

สิวอักเสบ มีลักษณะอย่างไร

ก็ สิว ที่มีลักษณะ เป็นตุ่มนูน บวม แดง เจ็บ สิวอักเสบ มีหลายลักษณะค่ะ บ้างมีหัวหนอง อยู่ตื้นๆ สิวอักเสบ แบบนี้ หายได้เร็วค่ะ บ้างเป็นตุ่มแดงนูนแข็ง ไม่เห็นหัวหนอง ขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง หรือ บางครั้ง มีลักษณะเป็นถุงน้ำอยู่ใต้ผิว ซึ่ง สิวอักเสบ แบบนี้ ยุบช้าค่ะ และ อาจทำให้เกิดแผลเป็นตามมาได้ด้วย

ส่วน สิวไม่อักเสบ หรือ สิวอุดตัน จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก ไม่บวม ไม่แดง ไม่เจ็บ สิว แบบนี้ มีทั้งชนิด สิวหัวปิด หรือ บางคนเรียก สิวหัวขาว และ สิวหัวเปิด หรือ สิวหัวดำ ค่ะ

นอกจาก สิว แล้ว ยังมีร่องรอยที่หลงเหลือของ สิว ให้เห็นเป็นรอยแดง รอยดำ รอยบุ๋ม หรือ รอยนูน ปรากฏให้เห็นด้วย

ปัจจุบันในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถยืนยันถึงสาเหตุในการเกิดสิวได้อย่างแน่ชัด แต่พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่อาจส่งผลร่วมกันจนทำให้เกิดการอุดตันของไขมันในรูขุมขนขึ้น ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวแบ่งได้ ดังนี้

ปัจจัยภายในร่างกาย

พันธุกรรม

ผู้ที่มีพันธุกรรมบางอย่างอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดสิวมากกว่าคนอื่น อย่างคนผิวมันที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันได้มากกว่าผิวประเภทอื่น จึงเสี่ยงต่อการเกิดสิวอุดตันได้ ส่วนบางคนต่อมไขมันอาจทำงานได้น้อยเลยทำให้ผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอ่อนแอและติดเชื้อสิวได้ง่าย ขณะที่สิวจากพันธุกรรมยังอาจรวมไปถึงการแพ้อาหารบางชนิดอีกด้วย

ฮอร์โมน

ระดับของฮอร์โมนบางชนิดที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้เกิดสิวได้ โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจนที่มักเพิ่มระดับขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น สำหรับในผู้หญิงการมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือนก็สามารถทำให้เกิดสิวได้ เป็นต้น

ปัจจัยภายนอก

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกับผิว

การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สกินแคร์ ครีมรักษาสิว และเครื่องสำอางอย่างขาดความรู้และไม่เหมาะสมกับผิวอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง อุดตัน ส่งผลให้สภาพผิวอ่อนแอได้ เมื่อผิวอุดตันและอ่อนแอก็อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียบนใบหน้าเจริญเติบโตได้ดีจนเป็นสิวได้ในที่สุด

 เชื้อแบคทีเรีย

เดิมทีบนผิวหนังของมนุษย์มีแบคทีเรียอาศัยอยู่หลายชนิด ในภาวะปกติเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้จะไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติใด ๆ แต่เมื่อผิวอ่อนแอหรือมีจำนวนเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้เพิ่มขึ้นก็อาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้ โดยสิวอาจเกิดได้จากแบคทีเรียหลายชนิด

สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดสิว

พฤติกรรมบางอย่างก็อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดสิวได้เช่นกัน อย่างการล้างหน้าไม่สะอาด ล้างหน้าแรงและบ่อยเกินไป หรือแม้แต่การเจอกับมลพิษหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ทั้งความเครียด แสงแดด ฝุ่นควัน และสิ่งสกปรก

เมื่อเป็นสิวแล้ว ควรดูแลรักษาใบหน้าดังต่อไปนี้

1. หยุดแกะและบีบสิว

การสัมผัส แกะ เกา และบีบสิวอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบรุนแรงขึ้น ไม่ใช้มือสัมผัสใบหน้าเพราะมือและเล็บเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่อาจทำเกิดการติดเชื้อได้ นอกจากนี้ การแกะหรือบีบสิวเองยังเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ รอยสิว และเกิดแผลเป็นตามมาอีกด้วย

2. ล้างหน้าอย่างถูกวิธี

คนที่มีผิวหน้ามันมักเลือกใช้โฟมที่มีความแรงและล้างหน้าบ่อยกว่าคนผิวผสมและผิวแห้ง เพื่อลดความมันบนใบหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว การล้างหน้าบ่อยเกินไปจะยิ่งทำให้หน้ามัน อีกทั้งการขัดถูบนใบหน้าที่แรงเกินไปก็อาจส่งผลให้ผิวอ่อนแอและติดเชื้อสิวได้ง่ายขึ้น

3. หลีกเลี่ยงความเครียด

ความเครียดเป็นอารมณ์ที่ส่งผลเสียต่อระบบในร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการหลั่งฮอร์โมนบางชนิดหรือการฟื้นฟูของผิว จึงควรหลีกเลี่ยงและหาวิธีลดความเครียด อย่างการออกกำลังกาย การทำงานอดิเรก หรือการนั่งสมาธิเพื่อลดการกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิว

4. เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิว

แต่ละคนมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม และผิวแพ้ง่าย ซึ่งในแต่สภาพผิวก็มีวิธีการดูแลและการเลือกใช้สกินแคร์หรือครีมบำรุงผิวที่แตกต่างกัน จึงควรศึกษาและทดสอบการแพ้ก่อนนำผลิตภัณฑ์มาใช้ รวมทั้งเลือกการเลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยต้านสิวก็อาจช่วยให้สิวหายได้เร็วขึ้น

5. ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

หากสิวลุกลามอักเสบมาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อแนะนำการรักษาอย่างถูกวิธี

โปรแกรมรักษาสิวที่ Diva Clinic เน้นรักษาตามอาการคนไข้ โดยใช้เลเซอร์มาตรฐาน USA และยาที่มี อย เท่านั้น

MDL ACNE

MDL ACNE

ขั้นตอนการรักษา

1. ทำความสะอาดผิวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบำรุงรักษา

2. Oxy detox ทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึกด้วยพลังน้ำแร่ อ่อนโดยแต่เข้าถึงทุกจุด ไม่ระคายเคือง เหมาะกับทุกสภาพผิว ขจัดสิ่งสกปรก เซลล์ผิวที่ตายแล้วโดยไม่ทำร้ายผิว

Oxy detox
Oxy detox

3.กดสิว ด้วยเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อทุกครั้ง

กดสิว ด้วยเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อทุกครั้ง
กดสิว ด้วยเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อทุกครั้ง

4. MEDISE LIGHT BRIGHTENNING MODE เลเซอร์ที่ช่วยเรื่องรอยสิว อ่านเพิ่มเติม

5. MEDISE LIGHT ACNE MODE เลเซอร์โหมดฆ่าเชื้อสิวโดยเฉพาะ อ่านเพิ่มเติม

MEDISE LIGHT ACNE MODE
MEDISE LIGHT ACNE MODE

6. ACNE MASK 

ACNE MASK
ACNE MASK

7. BIO LIGHT  การฉายแสงบำบัดพลังนาโน ที่สามารถช่วยในการฆ่าเชื้อ P.Acne และลดการอักเสบของผิวได้เป็นอย่างดี  อ่านเพิ่มเติม

BIO LIGHT  การฉายแสงบำบัดพลังนาโน
BIO LIGHT การฉายแสงบำบัดพลังนาโน

ACNE RE-BALANCE , ACNE CLEAR

เป็นตัวยาที่สกัดจากสารสกัดธรรมชาติ ช่วยล้างพิษในระดับเซลล์ ทำให้เซลล์ผิวหนังของร่างกายแข็งแรงขึ้นทำให้ได้ผลลัพธ์เป็นหน้าใสขึ้น ผิวแข็งแรง อาการอักเสบ ผิวแพ้ง่ายลดลง รวมทั้งช่วยให้ลงสกินแคร์บำรุงไปในผิวแล้วเกิดการซึมซาบดียิ่งขึ้น

  • ฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอแพ้ง่าย ให้กลับมาแข็งแรงขึ้น
  • ลดการเกิดสิว ผด ผื่นต่างๆ ที่เกิดจากการแพ้
  • กระตุ้นการทำงานขอน้ำเหลือง ช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่ง
  • ช่วยลดไขมันในผิว กระชับรูขุมขนได้ เมื่อฉีดเป็นประจำ
ACNE RE-BALANCE , ACNE CLEAR
ACNE RE-BALANCE , ACNE CLEAR

กลไกการทำงานของ ACNE REBALANCE ,ACNE CLEAR

  • Detoxification กระตุ้นการขับสารพิษของร่างกายผ่านออกมาทางของเสีย ทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะส่วนต่างๆ ดีขึ้น
  • Metabolism เร่งให้เกิดการเผาผลาญ ช่วยให้เซลล์ฟื้นฟูตัวเอง รวมทั้งเกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้กับผิว
  • Nutrients & Cell therapy เติมสารอาหารที่ผิวต้องการ เพื่อฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรง
  • Restructuring ปรับสมดุลใหม่ ให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานที่ดี ลดอาการแพ้ที่เป็นต้นเหตุของสิวผด สู้กับมลภาวะต่างๆ ได้ดีขึ้น

เหมาะกับใคร

  • คนที่ต้องการปรับผิวหน้าให้สมดุล
  • คนที่ผิวอ่อนแอ อยากให้ผิวแข็งแรงขึ้น
  • คนที่แพ้ง่าย ทั้งจากมลภาวะและผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิว
  • คนที่ต้องการลดสิวอุดตัน สิวอักเสบ และผดผื่น
  • คนที่ต้องการขับสารพิษจากสเตียรอยด์

กี่ครั้งถึงเห็นผล?

ภายในครั้งที่ 1 – 2 ที่ฉีด จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้เลยสำหรับผู้ที่ผิวหน้ามีปัญหาน้อย แต่ใครที่ผิวมีปัญหาค่อนข้างมากอาจต้องฉีดไปถึงครั้งที่ 3 – 5 จึงจะเห็นผล และเมื่อฉีดต่อเนื่องครั้งที่ 5 ขึ้นไป ผิวจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แนะนำให้ฉีด 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง

ฝ้า คืออะไร 

ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้น สีน้ำตาล ถึงน้ำตาลเข้ม มักเกิดขึ้นบริเวณหน้า โดยเฉพาะตรงจุดที่โดนแสงแดด เช่นโหนกแก้มทั้งสองข้าง หน้าผาก ไรหนวด ส่วนมากมักเกิดจากการที่โดนแสงแดด  หรือฮอร์โมนเช่นการทานยาคุมกำเนิด หรือฉีดยาคุมกำเนิดหรืออยู่ในภาวะตั้งครรภ์

แบ่งออกเป็น ฝ้าชนิดตื้นและชนิดลึก

สำหรับความแตกต่างของฝ้าทั้ง 2 ชนิดนี้ก็คือ ระดับความลึกของเม็ดสีชนิดลึก เพราะเม็ดสีที่มีความผิดปกติจะอยู่ที่ชั้นหนังแท้ ส่วนฝ้าชนิดตื้นนั้นจะมีอยู่แค่ตรงชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น และความเข้มของเม็ดสีก็ยังมีน้อยกว่าฝ้าชนิดลึกอย่างมากอีกด้วย

การรักษาฝ้า ยังไม่มีทางทำให้หายขาด 100%

กระ

มักเป็นจุดๆ ไม่เป็นปื้น ขนาดไม่เกิน 3-4 มิลลิเมตร มักเกิดจากแสงแดด

รังสีไวโอเลตในแสงแดด มักเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า กระ เพราะเป็นตัวกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ทำงานมากขึ้น ทำให้การเกิดของฝ้ากระง่ายมากขึ้น การป้องกันคือการใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ และเพียงพออย่างประจำทุกวัน

โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดตกกระหรือฝ้าขึ้น ก็มาจากเซลล์สร้างเม็ดสีที่อยู่ใต้ผิวหนังหรือที่เรียกว่า เมลานิน มีการผลิตเม็ดสีขึ้นอย่างไม่ปกติสม่ำเสมอ จนทำให้ผิวหนังบางร่วมกับมีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ สีน้ำตาล ขึ้นกระจายตัวอยู่ทั่วไปบนใบหน้า และนอกจากผิวหน้าแล้ว พบว่ายังสามารถขึ้นได้ทั้งบริเวณเนินอก หรือผิวที่แขน ซึ่งรังสี UV นี่เองที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เมลานินผลิตเม็ดสีผิวออกมาเพิ่มมากขึ้น สำหรับทางการแพทย์ก็ยังเชื่ออีกด้วยว่า การเกิดกระยังสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ด้วยเช่นกัน เช่น กระที่มักขึ้นบนผิวหน้าชาติพันธุ์ตะวันตกเป็นต้น

นอกจากนี้สารบางอย่างก็สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน เช่น สารปรอท สารตะกั่วที่มักอยู่ในครีมทาหน้าโฆษณาว่าทาแล้วหน้าขาวเร็ว โดยจะขาวเฉพาะในช่วงแรกๆเท่านั้น แต่เมื่อทาไปสักระยะ ผิวหน้าจะบางลง และแพ้ ระคายเคืองง่าย เมื่อหยุดใช้จะกลับมาเป้นฝ้าหนาและเยอะกว่าเดิม และมีเส้นเลือดฝอยเกิดขึ้นที่ผิวหน้าร่วมด้วย 

พันธุกรรม (Genetic) ก็พบว่ามีความสัมพันธ์ของฝ้ากับพันธุกรรมซึ่งบุคคลที่เป็นฝ้าจะมีพันธุกรรมที่เอื้อต่อการเป็นฝ้าแฝงอยู่เสมอ แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถหายีนที่ควบคุมการเกิดฝ้าได้

ฝ้า 90% พบในเพศหญิงซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศหญิง

และคนที่เป็นฝ้านั้นมียีนที่เอื้อต่อการเกิดฝ้าอยู่ในพันธุกรรมของตนอยู่แล้ว จึงไม่สามารถทำให้หายขาดได้ แต่ปัจจุบันมีวิธีการดูแลรักษาที่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้ถึงแม้ไม่หายขาดแต่ก็สามารถทำให้จางลงและควบคุมไม่ให้ฝ้าเข้มขึ้น จนดูใกล้เคียงกับผิวปกติได้

การรักษาฝ้ามีวิธีใดบ้าง ?

วิธีลดเลือนและการรักษาฝ้าที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน

  1. ครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมของไฮโดรควินิน

วิธีรักษาฝ้าด้วยยาทารักษาฝ้าที่มีส่วนผสมของไฮโดรควินิน (Hydroquinone) ซึ่งถือเป็น gold standard สำหรับวงการแพทย์ผิวหนัง มีสรรพคุณลดเม็ดสีที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สีผิวจางเมื่อทายาอย่างสม่ำเสมอ แต่ในขณะเดียวกันตัวยาที่อยู่ในครีมทารักษาฝ้านี้ จะมีผลในการทำลายที่อยู่ของการผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งทำให้เกิดความไม่สมดุลของเม็ดสีเมลานินบนผิว และเป็นผลให้ทำให้เกิดโรคผิวด่างขาวอย่างถาวร

  1. การลอกฝ้าโดยใช้ยากลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoids)

            วิธีการรักษาฝ้าแบบนี้ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เช่นเดียวกับการใช้กรดผลไม้อย่าง AHA (Alpha Hydroxy Acid) และ BHA (Beta Hydroxy Acid) ที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวที่ผิวชั้นนอกได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ฝ้าจางลงเพียงแค่ผิวชั้นนอกเท่านั้น ไม่ได้ไปจัดการที่ต้นตอผิวชั้นใน แถมยังทำให้ผิวแห้งและอาจเกิดการระคายเคืองได้

  1. การทำเมโสหน้าใส

นอกจากการใช้ครีมรักษาฝ้าแล้ว การทำทรีตเมนต์ที่ใช้เข็มขนาดเล็กในการเจาะผ่านเข้าไปในผิวหนังชั้นกลาง เพื่อนำสารจำพวกวิตามิน แอนติออกซิแดนท์ และสารบำรุงผิวตัวอื่นๆ ไปยังชั้นผิวด้านใน เพื่อเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวเต่งตึงสวยใสขึ้นภายใน 1 เดือน อาจจะมีรอยเข็มบ้างหลังทำแต่เพียงแค่ 1-2 วันรอยเข็มก็จะหายไป

4.การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์

การรักษาด้วยเลเซอร์ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์อย่างมาก ถ้าแพทย์ยิงเลเซอร์ด้วยพลังงานที่เหมาะสม นุ่มนวล ฝ้ามักจางลงได้ผลดีกว่าการทายา  ที่ Diva Clinic ใช้ Picosecond Laser ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ให้พลังงานสูงกว่า Q-Switched Laser ในระยะเวลาที่สั้นกว่า จึงทำให้เม็ดสีผิวสามารถแตกตัวได้ละเอียดยิ่งขึ้น ช่วยแก้ไขปัญหาฝ้า กระ หรือจุดด่างดำจางได้ไวขึ้น อีกทั้งยังส่งผลให้ระหว่างทำเลเซอร์    รู้สึกเจ็บน้อยกว่าเลเซอร์แบบเดิม เพราะใช้เวลาสั้นกว่า อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จึงทำให้ผิวของคุณเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยแห่งวัยแลดูลดน้อยลงอีกด้วย

การรักษาด้วย picosecond laser ซึ่งเป็นการส่งพลังงานแบบ Ultra-short pulse duration เหนือกว่าเลเซอร์แบบดั้งเดิม จึงส่งผลให้เกิดเป็นแรงดันมหาศาล แทนที่ความร้อน ระเบิดอนุภาคเม็ดสีให้แหลกละเอียด จนร่างกายสามารถกำจัดออกได้อย่างง่ายดาย  ไม่เพียงแต่ทำให้เม็ดสีแตกกระจาย แต่ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Fractional 1,064 nm Picosecond Laser จึงส่งผลทางด้าน rejuvenation พร้อมช่วยรักษาฝ้า กระ ทำให้ผิวขาว กระจ่างใส เรียบเนียน ริ้วรอยลดลง ไปพร้อมๆเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา   การใช้ Picosecond Laser ซึ่งเป็น Lastest non-ablative laser จึงสามารถส่งพลังงานแบบเจาะจงไปยังผิวหนังชั้น Papilla dermis ทำให้เกิดการสร้างและจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้ โดยไม่กระทบผิวหนังชั้นบนหรือชั้น epidermis  จีงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

หลังการรักษาด้วยเลเซอร์ควรงดโดนแดดจัดประมาณ 1 สัปดาห์และทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ในปริมาณที่เพียงพอ สำหรับคนที่มีฝ้า กระขึ้นง่าย ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF50+++ เพื่อป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ในอนาคต