ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้น สีน้ำตาล ถึงน้ำตาลเข้ม มักเกิดขึ้นบริเวณหน้า โดยเฉพาะตรงจุดที่โดนแสงแดด เช่นโหนกแก้มทั้งสองข้าง หน้าผาก ไรหนวด ส่วนมากมักเกิดจากการที่โดนแสงแดด หรือฮอร์โมนเช่นการทานยาคุมกำเนิด หรือฉีดยาคุมกำเนิดหรืออยู่ในภาวะตั้งครรภ์
แบ่งออกเป็น ฝ้าชนิดตื้นและชนิดลึก
สำหรับความแตกต่างของฝ้าทั้ง 2 ชนิดนี้ก็คือ ระดับความลึกของเม็ดสีชนิดลึก เพราะเม็ดสีที่มีความผิดปกติจะอยู่ที่ชั้นหนังแท้ ส่วนฝ้าชนิดตื้นนั้นจะมีอยู่แค่ตรงชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น และความเข้มของเม็ดสีก็ยังมีน้อยกว่าฝ้าชนิดลึกอย่างมากอีกด้วย
การรักษาฝ้า ยังไม่มีทางทำให้หายขาด 100%
กระ
มักเป็นจุดๆ ไม่เป็นปื้น ขนาดไม่เกิน 3-4 มิลลิเมตร มักเกิดจากแสงแดด
รังสีไวโอเลตในแสงแดด มักเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า กระ เพราะเป็นตัวกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ทำงานมากขึ้น ทำให้การเกิดของฝ้ากระง่ายมากขึ้น การป้องกันคือการใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ และเพียงพออย่างประจำทุกวัน
โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดตกกระหรือฝ้าขึ้น ก็มาจากเซลล์สร้างเม็ดสีที่อยู่ใต้ผิวหนังหรือที่เรียกว่า เมลานิน มีการผลิตเม็ดสีขึ้นอย่างไม่ปกติสม่ำเสมอ จนทำให้ผิวหนังบางร่วมกับมีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ สีน้ำตาล ขึ้นกระจายตัวอยู่ทั่วไปบนใบหน้า และนอกจากผิวหน้าแล้ว พบว่ายังสามารถขึ้นได้ทั้งบริเวณเนินอก หรือผิวที่แขน ซึ่งรังสี UV นี่เองที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เมลานินผลิตเม็ดสีผิวออกมาเพิ่มมากขึ้น สำหรับทางการแพทย์ก็ยังเชื่ออีกด้วยว่า การเกิดกระยังสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ด้วยเช่นกัน เช่น กระที่มักขึ้นบนผิวหน้าชาติพันธุ์ตะวันตกเป็นต้น
นอกจากนี้สารบางอย่างก็สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน เช่น สารปรอท สารตะกั่วที่มักอยู่ในครีมทาหน้าโฆษณาว่าทาแล้วหน้าขาวเร็ว โดยจะขาวเฉพาะในช่วงแรกๆเท่านั้น แต่เมื่อทาไปสักระยะ ผิวหน้าจะบางลง และแพ้ ระคายเคืองง่าย เมื่อหยุดใช้จะกลับมาเป้นฝ้าหนาและเยอะกว่าเดิม และมีเส้นเลือดฝอยเกิดขึ้นที่ผิวหน้าร่วมด้วย
พันธุกรรม (Genetic) ก็พบว่ามีความสัมพันธ์ของฝ้ากับพันธุกรรมซึ่งบุคคลที่เป็นฝ้าจะมีพันธุกรรมที่เอื้อต่อการเป็นฝ้าแฝงอยู่เสมอ แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถหายีนที่ควบคุมการเกิดฝ้าได้
ฝ้า 90% พบในเพศหญิงซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศหญิง
และคนที่เป็นฝ้านั้นมียีนที่เอื้อต่อการเกิดฝ้าอยู่ในพันธุกรรมของตนอยู่แล้ว จึงไม่สามารถทำให้หายขาดได้ แต่ปัจจุบันมีวิธีการดูแลรักษาที่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้ถึงแม้ไม่หายขาดแต่ก็สามารถทำให้จางลงและควบคุมไม่ให้ฝ้าเข้มขึ้น จนดูใกล้เคียงกับผิวปกติได้
การรักษาฝ้ามีวิธีใดบ้าง ?
วิธีลดเลือนและการรักษาฝ้าที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
- ครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมของไฮโดรควินิน
วิธีรักษาฝ้าด้วยยาทารักษาฝ้าที่มีส่วนผสมของไฮโดรควินิน (Hydroquinone) ซึ่งถือเป็น gold standard สำหรับวงการแพทย์ผิวหนัง มีสรรพคุณลดเม็ดสีที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สีผิวจางเมื่อทายาอย่างสม่ำเสมอ แต่ในขณะเดียวกันตัวยาที่อยู่ในครีมทารักษาฝ้านี้ จะมีผลในการทำลายที่อยู่ของการผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งทำให้เกิดความไม่สมดุลของเม็ดสีเมลานินบนผิว และเป็นผลให้ทำให้เกิดโรคผิวด่างขาวอย่างถาวร
- การลอกฝ้าโดยใช้ยากลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoids)
วิธีการรักษาฝ้าแบบนี้ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เช่นเดียวกับการใช้กรดผลไม้อย่าง AHA (Alpha Hydroxy Acid) และ BHA (Beta Hydroxy Acid) ที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวที่ผิวชั้นนอกได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ฝ้าจางลงเพียงแค่ผิวชั้นนอกเท่านั้น ไม่ได้ไปจัดการที่ต้นตอผิวชั้นใน แถมยังทำให้ผิวแห้งและอาจเกิดการระคายเคืองได้
- การทำเมโสหน้าใส
นอกจากการใช้ครีมรักษาฝ้าแล้ว การทำทรีตเมนต์ที่ใช้เข็มขนาดเล็กในการเจาะผ่านเข้าไปในผิวหนังชั้นกลาง เพื่อนำสารจำพวกวิตามิน แอนติออกซิแดนท์ และสารบำรุงผิวตัวอื่นๆ ไปยังชั้นผิวด้านใน เพื่อเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวเต่งตึงสวยใสขึ้นภายใน 1 เดือน อาจจะมีรอยเข็มบ้างหลังทำแต่เพียงแค่ 1-2 วันรอยเข็มก็จะหายไป
4.การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์
การรักษาด้วยเลเซอร์ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์อย่างมาก ถ้าแพทย์ยิงเลเซอร์ด้วยพลังงานที่เหมาะสม นุ่มนวล ฝ้ามักจางลงได้ผลดีกว่าการทายา ที่ Diva Clinic ใช้ Picosecond Laser ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ให้พลังงานสูงกว่า Q-Switched Laser ในระยะเวลาที่สั้นกว่า จึงทำให้เม็ดสีผิวสามารถแตกตัวได้ละเอียดยิ่งขึ้น ช่วยแก้ไขปัญหาฝ้า กระ หรือจุดด่างดำจางได้ไวขึ้น อีกทั้งยังส่งผลให้ระหว่างทำเลเซอร์ รู้สึกเจ็บน้อยกว่าเลเซอร์แบบเดิม เพราะใช้เวลาสั้นกว่า อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จึงทำให้ผิวของคุณเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยแห่งวัยแลดูลดน้อยลงอีกด้วย
การรักษาด้วย picosecond laser ซึ่งเป็นการส่งพลังงานแบบ Ultra-short pulse duration เหนือกว่าเลเซอร์แบบดั้งเดิม จึงส่งผลให้เกิดเป็นแรงดันมหาศาล แทนที่ความร้อน ระเบิดอนุภาคเม็ดสีให้แหลกละเอียด จนร่างกายสามารถกำจัดออกได้อย่างง่ายดาย ไม่เพียงแต่ทำให้เม็ดสีแตกกระจาย แต่ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Fractional 1,064 nm Picosecond Laser จึงส่งผลทางด้าน rejuvenation พร้อมช่วยรักษาฝ้า กระ ทำให้ผิวขาว กระจ่างใส เรียบเนียน ริ้วรอยลดลง ไปพร้อมๆเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา การใช้ Picosecond Laser ซึ่งเป็น Lastest non-ablative laser จึงสามารถส่งพลังงานแบบเจาะจงไปยังผิวหนังชั้น Papilla dermis ทำให้เกิดการสร้างและจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้ โดยไม่กระทบผิวหนังชั้นบนหรือชั้น epidermis จีงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
หลังการรักษาด้วยเลเซอร์ควรงดโดนแดดจัดประมาณ 1 สัปดาห์และทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ในปริมาณที่เพียงพอ สำหรับคนที่มีฝ้า กระขึ้นง่าย ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF50+++ เพื่อป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ในอนาคต